ธรรมนูญและกฎหมายอนุวัติ
-
หน้าหลัก
- พื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย (JDA)
- ธรรมนูญและกฎหมายอนุวัติ
ธรรมนูญและกฎหมายอนุวัติการการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
บันทึกความเข้าใจไทย-มาเลเซีย พ.ศ. 2522 นั้น เป็นความตกลงระหว่างประเทศ แต่ในการที่จะสามารถปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรร่วม ละที่สำคัญคือจะต้องมีการออกกฎหมายภายในแต่ละประเทศ เพื่อมารองรับให้เป็นไปตามความตกลง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ จะต้องมีการออกกฎหมายอนุวัติการจัดตั้งองค์การร่วม ซึ่งกฎหมายที่แต่ละฝ่ายจะออกมาใช้นั้นจะต้องมีสาระสำคัญที่เหมือนกัน และมีผลบังคับใช้พร้อมกันด้วย
หลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแล้ว รัฐบาลของทั้งสองประเทศก็ได้มีการเจรจาต่อเนื่องกันมาอีกเป็นเวลา 11 ปี จึงได้ลงนามใน ?ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งมาเลเซีย ว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย? (Agreement Between the Government of Malaysia and the Kingdom of Thailand on the Constitution and Other Matters Relating to the Establishment of the Malaysia-Thailand Joint Authority) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2533
หลังจากนั้น ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2533 รัฐสภาของไทยและมาเลเซีย ก็ได้ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายอนุวัติการก่อตั้งองค์กรร่วมซึ่งต่อมาเมื่อได้มีพิธีแลกเปลี่ยนให้สัตยาบันสารในความตกลงว่าด้วยธรรมนูญฯ ข้างต้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2534 แล้ว จึงได้มีประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ. 2533 พร้อมกันในทั้งสองประเทศแล้วเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2534
สาระสำคัญของธรรมนูญและกฎหมายอนุวัติการจัดตั้งองค์กรร่วมฯ
- สถานะทางกฎหมายและการจัดองค์กร
- ให้องค์กรร่วมฯ มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีภูมิลำเนาอยู่ในทั้งสองประเทศ
- ให้มีการออกกฎหมายรองรับการจัดตั้งองค์กรร่วมฯ ขึ้นมาในทั้งสองประเทศ โดยมีสาระสำคัญในกฎหมายเหมือนกัน และมีผลบังคับใช้พร้อมกันด้วย
- ในองค์กรร่วมฯ จะมีการบริหารงานในระบบกรรมการร่วม (Board) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลแต่ละฝ่าย ฝ่ายละ 7 คน เท่ากัน
- อำนาจหน้าที่ขององค์กรร่วมฯ
- ควบคุมการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในพื้นที่พัฒนาร่วมและกำหนดนโยบายสำหรับการควบคุม
- พิจารณากำหนดโครงสร้างองค์กรขององค์กรร่วมฯ และแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ พนักงาน ฯลฯ
- พิจารณากำหนดแผนงานและการปฏิบัติการสำหรับการจัดการพื้นที่พัฒนาร่วม
- อนุมัติและทำนิติกรรมหรือสัญญาสัมปทานใด ๆ ในพื้นที่พัฒนาร่วม ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของรัฐบาลทั้งสอง
- ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ดำเนินการในเขตพื้นที่พัฒนาร่วม
- กำหนดรูปแบบการทำสัญญาสัมปทานที่เกี่ยวกับปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมให้เป็นแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contact)
- อำนาจหน้าที่ขององค์กรร่วมฯ
- ให้ผู้ได้รับสัญญาชำระค่าภาคหลวงในอัตราร้อยละ 10 ของผลผลิตปิโตรเลียมทั้งหมดแก่องค์กรร่วมฯ
- ให้ผู้รับสัญญาหักค่าใช้จ่ายสำหรับการประกอบกิจการปิโตรเลียมได้ในอัตราร้อยละ 50
- ให้แบ่งกำไรระหว่างองค์กรร่วมฯ กับผู้ได้รับสัญญาในจำนวนเท่า ๆ กัน หลังจากหักค่าใช้จ่ายและส่วนแบ่งกำไร
- ให้ผู้ได้รับสัญญาจ่ายเงินบำรุงการวิจัยอัตราร้อยล่ะ 0.5 ของผลรวมค่าใช้จ่ายและส่วนแบ่งกำไร
- ผู้ได้รับสัญญาต้องชำระอากรขาออกของน้ำมันที่ส่งออกในอัตราร้อยละ 10 ของส่วนแบ่งกำไรที่เป็นน้ำมัน
- การเงิน
- ค่าใจจ่ายและผลประโยชน์ขององค์กรร่วมฯ ให้รัฐบาลทั้งสองประเทศรับภาระและแบ่งปันเท่า ๆ กัน
- ให้มีกองทุนเพื่อการใช้จ่ายในการดำเนินงานขององค์กรร่วมฯ
- ให้มีการจัดทำงบประมาณ บัญชี และรายงานผลต่อรัฐบาลทุกปี
- ภาษีอากร
- หน่วยงานของศุลกากรและสรรพสามิตของแต่ละประเทศยังคงใช้อำนาจตามกฎหมายของแต่ละฝ่ายต่อไปได้ เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าเข้าหรือส่งออกไปในบริเวณพื้นที่ร่วมพัฒนาร่วม ภายใต้ข้อบังคับต่อไปนี้
- สินค้าที่ได้รับความเห็นชอบทางศุลกากร รวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุสิ่งของสำหรับใช้ในพื้นที่ร่วมพัฒนาร่วมจะได้รับการยกเว้นอากร
- กรณีที่สินค้าอยู่ในข่ายที่ต้องเก็บภาษีอากรตามกฎหมายศุลกากรของทั้งสองประเทศ แต่ละประเทศต้องลดอากรที่จะเรียกเก็บลงร้อยละ 50
- สินค้าที่นำเข้าไปในพื้นที่พัฒนาร่วม จากประเทศที่สามและคลังสินค้าใด ๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ถือว่าเป็นสินค้าขาเข้า
- สินค้าที่นำเข้าไปในพื้นที่พัฒนาร่วม จากประเทศมาเลเซียหรือประเทศไทย ให้ถือว่าเป็นการเคลื่อนย้ายภายใน
- สินค้าที่ผลิตในพื้นที่ร่วมและนำเข้ามาในประเทศไทยหรือมาเลเซียหรือประเทศที่สาม ให้ถือว่าเป็นสินค้าออก
- สินค้าต้องห้ามตามกฎหมายของประเทศไทยและมาเลเซีย จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปในพื้นที่พัฒนาร่วม
- ให้หน่วยงานศุลกากรของทั้งสองประเทศใช้แบบฟอร์มสำแดงรายการแบบเดียวกัน กล่าวคือ แบบฟอร์ม JDA 1ใช้สำหรับการนำเข้า, JDA 2 ใช้สำหรับการส่งออก และ JDA 3 ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายภายใน
- ประเทศอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์กรร่วมฯ จะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรอีกประเทศหนึ่งใช้อำนาจของตนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการผ่านพิธีการศุลกากร รวมทั้งการเก็บอากรและภาษีภายในบริเวณที่ทำการศุลกากรร่วม
- ในกรณีที่มีการกระทำผิด เกิดขึ้นในพื้นที่พัฒนาร่วมให้ถือปฏิบัติดังนี้
- หากการกระทำผิดนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่ง เพียงประเทศเดียวให้ประเทศที่อ้างว่ากฎหมายของตนถูกละเมิดสิทธิ์ เข้าใช้เขตอำนาจเหนือความผิดที่เกิดขึ้น
- หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ ให้ประเทศซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของตนเป็นผู้ทำการจับกุมหรือยึดเป็นคนแรกมีสิทธิเข้าใจเขตอำนาจเหนือความผิดนั้น
- หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ และเจ้าพนักงานของทั้งสองประเทศได้เข้าไปจับกุมหรือยึดพร้อม ๆ กัน ให้ทั้งสองหน่วยงานของทั้งสองประเทศ หารือกันถึงเขตอำนาจเหนือความผิดนั้น
- ให้มีคณะกรรมการศุลกากรร่วม ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งเพื่อประสานงาน ด้านการดำเนินการตามกฎหมายศุลกากรในพื้นที่พัฒนาร่วม
- ให้จัดตั้งที่ทำการของคณะกรรมการศุลกากรร่วม ขึ้นในสำนักงานใหญ่ขององค์กรร่วมฯ เพื่อประสานงานด้านการดำเนินการตามกฎหมายศุลกากรในพื้นที่พัฒนาร่วม
- ให้แบ่งเขตอำนาจ (Jurisdiction) ทางอาญาและทางแพ่งในพื้นที่พัฒนาร่วม โดยให้ประเทศไทยใช้อำนาจในคดีอาญาและคดีแพ่งตามกฎหมายไทยบนเขตพื้นที่ครึ่งบนของพื้นที่พัฒนาร่วม และให้ประเทศมาเลเซียใช้อำนาจในคดีอาญาและคดีแพ่งตามกฎหมายมมาเลเซียบนเขตพื้นที่ครึ่งล่างของพื้นที่พัฒนาร่วม ทั้งนี้ยกเว้นในเรื่องของศุลกากรและภาษีอากร
- กำหนดให้ศาลจังหวัดสงขลา ศาลแพ่งและศาลอาญา มีอำนาจพิจารณาคดีความที่เกิดขึ้นในพื้นที่พัฒนาร่วม
- การเก็บภาษีอากร จากเงินได้ของผู้ได้รับสิทธิสำรวจให้เป็นตามอัตรา ดังนี้
8 ปีแรก อัตราร้อยละ 0 ของกำไรสุทธิ
7 ปีถัดไป อัตราร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ
ปีต่อ ๆ ไป อัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ
- องค์กรร่วมฯ จะได้รับการยกเว้นจากการถูกเรียกเก็บภาษีทั้งปวง
- เบ็ดเตล็ด
- ให้อายุของความตกลงว่าด้วยธรรมนูญฯ นี้ มีผลเท่ากับอายุของบันทึกความเข้าใจไทย-มาเลเซีย พ.ศ. 2522 กล่าวคือเท่ากับ 50 ปี
- ความตกลงฯ นี้ ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อสิทธิในด้านประมงในท้องน้ำเหนือพื้นที่พัฒนาร่วม ที่แต่ละประเทศมีอยู่เดิม
วันที่ปรับปรุงล่าสุด : 18 ตุลาคม 2559 11:06:08
จำนวนผู้เข้าชม : 5,855
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4
เลขที่ 5/4 ถนนชลเจริญ ตำบลบ่อยาง
อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา 90000
หมายเลขโทรศัพท์ : 0-7430-7039, 0-7430-7040
อีเมล์ : 75000000@customs.go.th